นักชีววิทยาได้พบว่า ตาของนกฮูกสามารถมองเห็นวัตถุในที่มืดได้ดีกว่าตาของมนุษย์ราว 100 เท่า ตาสองตาของมันทำงาน ประสานกัน ทำให้สามารถมองเห็นเป็นมุมกว้างรวมกัน 100๐ และมุมมองของตาทั้งสองนั้นเหลื่อมซ้อนกันถึง 70๐การที่มุมของ ทัศนวิสัยซ้อน กันเช่นนี้ทำให้มันเห็นวัตถุ 3 มิติเช่นเดียวกับตาคน พรสวรรค์เช่นนี้ช่วยให้มันกะระยะทางของเหยื่อได้ดีกว่านก ทุกชนิดในโลก นอกจากนี้ นักชีววิทยายังได้สังเกตเห็นอีกว่า นกฮูกบางชนิดมีใบหูและรูหูที่ระดับต่างกัน ดังนั้น เวลาหนูหรือนกเล็กๆ เคลื่อนไหว เสียงจากเหยื่อ เหล่านี้จะใช้เวลาในการเดินทางถึงรูหูทั้งสองต่างกัน ซึ่งมีผลทำให้สมองของมันสามารถคำนวณตำแหน่งของ เจ้าของเสียงนั้นๆ ได้
ในวารสาร Conservation Biology เมื่อ 3 ปีก่อนนี้ S.Wassar แห่งมหาวิทยาลัย Washington ในสหรัฐอเมริกา ได้รายงานวิธีวัดความเครียดของนกฮูกว่าตามปกตินกฮูกก็เช่นเดียวกับคน คือเวลาเห็นศัตรูหรือเวลาถูกรบกวนด้วยเสียงดัง ร่างกายมัน จะหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา ซึ่งมีผลทำให้ชีพจรของมันเต้นแรง และถ้าเป็นสัตว์ตัวเมีย ฮอร์โมน corticosterone นี้ จะทำให้สัตว์ ตกลูกยาก และมีภูมิต้านทานโรคน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้มีส่วนทำให้สัตว์สูญพันธุ์
ดังนั้นการรู้วิธีวัดความเครียดในสัตว์ จึงสามารถใช้เป็นดัชนีช่วยในการป้องกันไม่ให้สัตว์สูญพันธุ์ได้ และเท่าที่ผ่านมาในอดีต นักชีววิทยามักใช้วิธีจับสัตว์มาวัดปริมาณ corticosterone ที่มีในตัวของมัน แต่วิธีนี้ไม่ดี เพราะเพียงแต่ไล่จับมัน มันก็เครียด เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ปริมาณฮอร์โมนเครียดที่วัดได้ จึงไม่ใช่ความเครียดที่เกิดตามธรรมชาติ แต่เป็นความเครียดที่เกิดจากคน
ด้วยเหตุที่ S.Wassar จึงได้เสนอให้นักชีววิทยาใช้เทคนิคการวัดความเครียดในสัตว์ใหม่ โดยเขาได้พบว่า ในมูลที่นกฮูกลายจุด ถ่ายมีฮอร์โมน corticosterone ปนออกมาด้วย ดังนั้น ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ปริมาณฮอร์โมนชนิดนี้ในมูลของนกฮูกสามารถ ใช้เป็นดัชนีบอกความเครียดของนกฮูกได้ และเขาก็ได้พบว่า นกฮูกที่มีรังอยู่ในป่าที่มีการตัดไม้ทำลายป่ามาก จะเครียดมากกว่านกฮูก ที่อาศัยอยู่ในป่าที่มีต้นไม้มากและการตัดไม้ทำลายป่าน้อย ส่วนนกฮูกตัวเมียนั้นจะเครียดจัดเวลาลูกนกฮูกใกล้จะบินจากรัง ซึ่งผลจาก การวิจัยของ Wassar นี้ ได้ชี้นำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ออกกฎหมายคุ้มครองป่าที่นกฮูกต่างๆ อาศัยอยู่ และห้ามการตัดไม้ทำลายป่า เมื่อถึงฤดูนกสืบพันธุ์ เพราะเสียงการตัดต้นไม้ในป่าจะรบกวนจิตใจของนกฮูกนั่นเอง
ในวารสาร Journal of Avian Biology ฉบับเดือนมีนาคม พ.ศ.2544 S.Redpath แห่ง Centre for Ecology and Hydrology ในประเทศอังกฤษ ได้รายงานการศึกษานกฮูกสีเหลืองน้ำตาล (tawny owl) ในป่า Kielder ว่า เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ นกต่างๆ จะส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ นกฮูกก็เช่นกัน แต่เสียงร้องของนกฮูกมิใช่เป็นเพียงเครื่องหมายแสดงความเบิกบานของจิตใจเท่านั้น มันยังเป็นสัญญาณบอกนกฮูกเพศตรงกันข้ามว่าเจ้าของเสียงร้องนั้น มีร่างกายที่สมบูรณ์ และเหมาะแก่การสืบพันธุ์เช่นไรอีกด้วย เพราะหูของนกฮูกสามารถจำแนกคุณลักษณะประเด็นนี้ได้ เช่นว่า นกที่มีสุขภาพดีกับนกที่ป่วย จะมีสุ้มเสียงแตกต่างกันอย่างไร และ Redpath ก็ได้พบว่า เวลาเธอเปิดเทปบันทึกเสียงของนกฮูก นกฮูกที่มีพยาธิในตัวจะใช้เวลานานเกือบ 15 นาที จึงส่งเสียงตอบ แต่นกฮูกที่สมบูรณ์ไร้พยาธิใดๆ จะใช้เวลาเพียง 6 นาที 30 วินาทีเท่านั้นเอง ก็ส่งเสียงร้องตอบแล้ว
นอกจากนี้ เธอก็ยังพบอีกว่าความถี่ของเสียงที่นกที่มีพยาธิในตัวเปล่งออกมานั้น จะแตกต่างจากเสียงของนกที่ไม่มีพยาธิ ซึ่งแม้แต่ หูคนก็สามารถจำแนกได้ เพราะความถี่สูงสุดของเสียงที่นกที่มีพยาธิเปล่งออกมาเป็นเพียง 0.82 กิโลเฮิรตซ์ ในขณะที่ความถี่สูงสุด ของเสียงที่นกที่สมบูรณ์เปล่งออกมาจะสูงถึง 0.98 กิโลเฮิรตซ์
และในวารสาร Science ฉบับที่ 292 ประจำเดือนเมษายน พ.ศ. 2544 Jose Luis Pena แห่ง California Institute of Technology ในสหรัฐอเมริกาก็ได้รายงานเกี่ยวกับธรรมชาติการทำงานของสมองนกฮูกว่า
ถึงแม้จะเป็นคืนที่มืดสนิทและเงียบสงัด แต่ถ้ามีหนูเคลื่อนไหวอยู่ในบริเวณที่หูนกฮูกสามารถได้ยินได้ ชีวิตของหนูตัวนั้นก็จะจบสิ้น ในอีกไม่กี่นาที เพราะนกฮูกจะรู้ทันทีว่า มันจะต้องบินไปสู่ที่ใด ทั้งนี้ เพราะสมองส่วนที่เรียกว่า interior colliculus ของมันสามารถ บอกระยะทางที่เหยื่ออยู่ไกลจากตัวมันได้ เช่น ถ้าหนูอยู่ทางขวาของมัน หูขวาของนกฮูกก็จะได้ยินเสียงที่ดังกว่าหูข้างซ้ายของมันเล็กน้อย และเมื่อสัญญาณเสียงจากหนูเดินทางถึงหูขวาก่อนหูซ้ายเล็กน้อย ความแตกต่างนี้จะทำให้เซลล์ประสาทในหูของนกฮูกคำนวณตำแหน่ง ของเจ้าของเสียงได้อย่างถูกต้อง
อนึ่ง ในการทดลองนี้ เขาได้ใช้นกฮูกยุ้ง 14 ตัว และใช้หูฟังติดที่หูของนกฮูกกลุ่มนี้เพื่อตรวจวัดปฏิกิริยาตอบสนองของนกฮูกเวลา ได้ยินเสียงและเขาก็ได้พบว่า เซลล์ประสาทในหูนกฮูกเวลาได้รับสัญญาณแทนที่จะทำงานโดยการรวบรวม (บอก) สัญญาณ มันจะทำงานในลักษณะคูณสัญญาณกัน ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่ processor ในเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ "มันจึงหาตำแหน่งเจ้าของเสียง ได้เร็วและถูก"
ปัญหาขั้นต่อไปที่นักวิจัยจะต้องรู้คือ กระบวนการทางชีววิทยาที่ช่วยให้สมองทำหน้าที่คูณสัญญาณนั้น มีขั้นตอนเช่นไร
ที่มา :http://www.mwit.ac.th/~physicslab/content_01/sutut/owl.html
|
กำเนิดนกฮูก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น